รหัสสินค้า | 000668 |
หมวดหมู่ | อาหารบำรุงผิว ผม ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม |
ราคา | 750.00 บาท |
ลงสินค้า | 18 ต.ค. 2562 |
อัพเดทล่าสุด | 18 ต.ค. 2562 |
คงเหลือ | 0 ชิ้น |
มีผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นชัดว่า การรับประทานแอสตาแซนทีน ขนาด 4 มิลลิกรัมต่อเนื่องกัน 6 สัปดาห์ ในหญิงวัยกลางคน โดยผลทางด้านริ้วรอย ความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่น ของผิวของผู้เข้าร่วมการทดลองรับประทานแอสตาแซนทีน กับผู้ที่ไม่ได้รับประทานแอสตาแซนทีน พบว่ากลุ่มที่รับประทานแอสตาแซนทีน ผลของริ้วรอยแลดูจางลง ความชุ่มชื้น และ ความยืดหยุ่นของผิวมากขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ 3 และเห็นผลอย่างมีนัยสำคัญเมื่อสัปดาห์ที่ 6 (ผลลัพธ์แตกต่างกันแล้วแต่บุคคล) ซึ่งอาจเป็นผลจากแอสตาแซนทีนที่สามารถปกป้องการทำลายของคอลลาเจนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ได้
เป็นการเพาะเลี้ยงสาหร่าย Haematococcus Pluvialis ในระบบปิด เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ในสภาวะการควบคุมแสงอุณหภูมิ ความชื้น เพื่อให้ได้แอส ตาแซนทีนที่มีคุณภาพสูง
อนุมูลอิสระคือโมเลกุลที่ไม่เสถียร มีความว่องไวสูง เพื่อให้ตัวเองเสถียรจะต้องแย่งอิเล็คตรอนจากเซลล์อื่น ทำให้เซลล์เกิดความเสียหาย ผลที่เกิดตามมาคือ ริ้วรอยความหย่อน คล้อย ผิวขาดความชุ่มชื้นและโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อนุมูลอิสระเกิดได้จากระบบการเผาผลาญในร่างกายเอง หรือจากภายนอก เช่น ความเครียด อาหารปิ้ง ย่าง รังสั UV จากแสง แดด ควันบุหรี่ มลพิษ เป็นต้น
คือสารที่จะหยุดขบวนการทำลายเซลล์จากอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระที่รู้จักกันดีและใช้กันอยู่ปัจจุบัน คือ วิตามินอี วิตามินซี โคเอนไซม์คิวเท็น กรดอัลฟาไลโปอิก เป็นต้น ในปัจจุบันนี้มีการค้นพบสารต้านอนุมูลอิสระที่มีความแรงที่สุด คือ “แอสตาแซนทีน” มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ ได้แรงกว่าวิตามินซี 6000 เท่า, ดีกว่าโคเอมไซม์คิวเท็น800 เท่า, ดีกว่า วิตามินอีและชาเขียว 550 เท่า, ดีกว่ากรดแอลฟา ไลโปอิก 75 เท่า, ดีกว่า เบต้าแคโรทีน 40 เท่า และดีกว่าสารสกัดจากเมล็ดองุ่น 17 เท่า
เป็นสารในตระกูลแคโรทีนอยด์ พบได้ใน สาหร่ายสีแดง Haematococcus Pluvialis ร่างกายไม่สามารถสร้างสารชนิดนี้ได้ ประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระเหนือกว่าตัว อื่นๆ เกิดจากโครงสร้างทางโมเลกุลที่จำเพาะของแอสตาแซนทีน ทำให้สามารถปกป้องผนังเซลล์ทั้งด้านในและด้านนอก เปรียบเสมือนทหารที่คอยปกป้องเซลล์ จึงมีส่วนสำคัญ ทำให้คอลลาเจนและอิลาสตินถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์ เป็นผลให้เซลล์ผิวแข็งแรง และประโยชน์อีกหลายอย่างทางด้านสุขภาพ เช่น เพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อสุขภาพตา เป็นต้น
มีการทดลองทางคลินิก โดยการรับประทานแอสตาแซนทีนมาถึง 45 มิลลิกรัมทุกวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆ (ผลลัพธ์แตกต่างกันแล้วแต่บุคคล) และจากการทดสอบสารเคมีในเลือด และปัสสาวะ ไม่พบความปกติใดๆ การค้นหาเอกสารทางวิชาการทั่วโลกนั้นไม่พบรายงานที่มีผลข้างเคียงในทางลบ
Thanks For Review K.pupe_so_sweet
ปกติปูเป้จะทาน Astaxanthin ที่สั่งมาจากอเมริกาครับ เพราะว่ามีคนจัดการเอามาให้ ไม่ต้องเจอภาษี แต่ถ้าใครไม่สะดวกจะสั่ง ไม่มีบัตรเครดิต ไม่มีคนเอามาให้ จะบอกว่าในไทยก็มีจำหน่ายอยู่หลายยี่ห้อ หา Google ดูก็น่าจะเจอแหล่ะ
พอดีมี Astaxanthin ยี่ห้อใหม่ที่เข้ามาจำหน่ายในไทย ส่งของมาให้ที่บ้าน นั่นก็คือยี่ห้อ Bio-Life ซึ่งผลิตในประเทศมาเลเซียเพื่อนบ้านเรานี่เอง และเห็นว่ามันแปลกไปจากที่เคยกินนิดหน่อยเลยเอามาแชร์ให้ดูกัน
Bio-Life Astaxanthin เป็นสารสกัดชนิดผงของสาหร่ายขนาดเล็กที่มีชื่อว่า Haematococcus Pluvialis ซึ่งเป็นแหล่งของ Astaxanthin ที่สูงที่สุดเท่าที่มนุษย์รู้จักในปัจจุบัน แคปซูลหนึ่งจะมีสารสกัดจากสาหร่ายนี้อยู่ที่ 222 มิลลิกรัม ซึ่งคิดเป็นปริมาณ Astaxanthin เท่ากับ 4 มิลลิกรัมนั่นเอง
สิ่งที่ทำให้ Bio-Life Astaxanthin แตกต่างจาก Astaxanthin อื่น ๆ ที่ปูเป้เคยทานมาก็ตรงที่มันมาในรูปแบบของผงแห้งบรรจุแคปซูล ในขณะที่ Astaxanthin ยี่ห้ออื่นที่เคยกินจะอยู่ในรูปแบบที่ละลายในเบสน้ำมัน บรรจุในซอฟท์เจล
จริง ๆ แล้วการละลายในเบสน้ำมันนั้นมีประโยชน์ในเรื่องของการดูดซึมและนำไปใช้ เพราะว่า Astaxanthin จะดูดซึมได้ดีก็ต้องอยู่คู่กับพวกไขมัน (โดยเฉพาะ Phospholipid) ทำให้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการที่จะทาน Astaxanthin ก็คือตามหลังอาหารทันที มากกว่าจะทานตอนท้องว่าง
เมื่อฟังแบบนี้แล้วจะคิดว่าเราก็น่าจะกินแบบที่ละลายในน้ำมันมาแล้วก็น่าจะดีกว่าผงแห้งรึเปล่า? แต่รูปแบบที่ละลายในน้ำมันและบรรจุในซอฟท์เจลจะมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งคือมันมีโอกาสรั่วได้ในระหว่างการเก็บหรือการขนส่ง ซึ่งส่วนตัวที่ทานมา 3 ปี ก็เจออยู่ 3 หรือ 4 ขวดที่มีปัญหานี้ ทำให้มีกลิ่นคาวหน่อย ๆ ซึ่งรูปแบบของผงแห้งไม่น่ามีปัญหาเรื่องการรั่วและเหมาะกับคนที่ควบคุมเรื่องปริมาณของไขมันที่ทานในแต่ละวัน (หรืออาจต้องการเลี่ยงการแพ้อาหารเนื่องจากแพ้น้ำมันพืชบางชนิดที่เขาทำละลายมา)
แต่ยังไงซะเวลาเราทาน Astaxanthin ก็ควรทานหลังอาหารทันที ซึ่งในมื้ออาหารอย่างน้อยก็จะมีไขมันอยู่ก็น่าจะช่วยในการดูดซึมอยู่แล้ว ดังนั้นจะเลือกแบบที่ละลายในน้ำมันมาแล้ว หรือเป็นแคปซูลผงแห้งก็คงแล้วแต่ความต้องการ หรือความสะดวกในการซื้อละกัน
ไหน ๆ ก็พูดถึง Astaxanthin อีกครั้งนึง ก็คิดว่าจะมาอัพเดทข้อมูลเพิ่มเติมจากที่เคยให้ไว้ในครั้งก่อนซะหน่อย ในบทความก่อนนั้นปูเป้เน้นถึงคุณประโยชน์ของการทาน Astaxanthin ในการช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและป้องกันผิวหนังจากความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยแสงแดดและอนุมูลอิสระเป็นหลัก แต่จริงๆ แล้ว Astaxanthin มีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวย ความงาม แต่เป็นเรื่องของสุขภาพ ทั้งชาย - หญิง ไม่ว่าจะเป็นช่วงวัยรุ่น วัยกลางคืน หรือวัยชรา ก็ล้วนแต่ได้ประโยชน์จากสุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระสีแดงนี้ทั้งนั้น
Astaxanthin เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังมาก และมีความพิเศษเฉพาะตัวในเชิงลักษณะของโครงสร้างโมเลกุลแบบ polar-nonpolar-polar กล่าวคือมีส่วนหัวและส่วนห่างแบบ Polar (ชอบน้ำ) และส่วนกลางที่เป็นแบบ Non-Polar (ชอบน้ำมัน) ทำให้ Astaxanthin สามารถจัดการกับอนุมูลอิสระทั้งในสภาพแวดล้อมที่เป็นน้ำและปราศจากน้ำได้ รวมถึงทำให้ Astaxanthin สามารถวางตัวคร่อมระหว่างชั้นผนังเซลล์ (Cell membrane) ซึ่งมีลักษณะการเรียงตัวแบบ polar-nonpolar-polar เช่นเดียวกัน
ลักษณะโครงสร้างที่พิเศษ และคุณสมบัติในการวางตัวคร่อมระหว่างชั้นผนังเซลล์ได้นั้น ทำให้ Astaxanthin สามารถทำหน้าที่เหมือนเป็นสื่อกลางในการลำเลียงอิเลกตรอนของสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ อย่างเช่นวิตามินซี จากภายนอกผนังเซลล์เข้ามาภายในผนังเซลล์ ดังนั้น Astaxanthin จึงช่วยเสริมการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระได้ด้วย (ใครที่งงว่าอิเลกตอนมาเกี่ยวยังไงกับอนุมูลอิสระ ให้กดอ่านที่นี่จ้า)
Astaxanthin กับการลดความเหนื่อยล้าของดวงตา และสุขภาพของดวงตา
มีการทดสอบในประเทศญี่ปุ่นทำในกลุ่มของผู้ใช้ใช้สายตากับจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ช่วงอายุ 38-53 ปี โดยให้ทาน Astaxanthin ปริมาณ 5 มิลลกรัมต่อวันเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่ทาน Astaxanthin นั้นมีความเหนื่อยล้าของดวงตาน้อยลงเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ใช้ยาหลอก
ในผู้ที่อายุมากขึ้นจะมีปัญหาเรื่องสายตาที่แย่ลง การโฟกัสที่ด้อยลงทำให้การมองเห็นภาพมีความเบลอมากขึ้น ในธรรมชาติของม่านตามนุษย์จะมีสารกลุ่ม carotenoids อย่าง lutein และ zeaxanthin ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ Astaxanthin เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การศึกษาในประเทสอิตาลีกับผู้ป่วย 145 คน เป็นระยะเวลา 2 ปี โดยรับประทาน Astaxanthin 4 มิลลิกรัม คู่กับ lutein 10 มิลลิกรัม และ zeaxanthin 1 มิลลิกรัม พบว่ากลุ่มที่ทานอาหารเสริม Astaxanthin คู่กับสารกลุ่ม carotenoids อีก 2 ชนิด มีการพัฒนาในเรื่องของสายตาที่ดีกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ทาน ดังนั้น Astaxanthin เมื่อทานคู่กับสารกลุ่ม carotenoids อย่าง lutein และ zeaxanthin จะช่วยลดความเหนื่อยล้าของดวงตา ลดปัญหาหรือแม้แต่ชะลอการเกิดปัญหาเกี่ยวกับดวงตาอันมาจากการเสื่อมชราของร่างกายได้
(Source : Effects of astaxanthin on accommodation, critical flicker fusion, and pattern visual evoked potential in visual display terminal workers., Carotenoids in Age-related Maculopathy Italian Study (CARMIS): two-year results of a randomized study.)
Astaxanthin กับการทำงานและความทนของกล้ามเนื้อ
แม้แต่วัยรุ่น หรือผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายก็ยังได้รับผลประโยชน์จากการทาน Astaxanthin เหมือนกัน เพราะการศึกษาในกลุ่มวัยรุ่นชายที่มีสุขภาพดีในสวีเดนพบว่า กลุ่มที่ทาน Astaxanthin 4 มิลลิกรัมต่อวันนานถึง 6 เดือน สามารถทำท่าสควอชพร้อมแบกน้ำหนัก 42.5 กิโลกรัม ได้ในจำนวนครั้งที่เพิ่มขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับกลุ่มทดลองที่ใช้ยาหลอก ที่ทำท่าสควอชได้เพิ่มขึ้นเพียง 19% การทดสอบนี้จุดประกายให้มีการทดสอบถึงคุณประโชน์ของ Astaxanthin ในแง่การเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อเพิ่มเติมในอนาคต
(Source : Dietary Supplementation with Astaxanthin-Rich Algal Meal Improves Strength Endurance - A Double Blind Placebo Controlled Study on Male Students)
Astaxanthin กับความจำและการทำงานของสมอง
แม้จะเป็นการทดสอบในกลุ่มเล็ก ๆ แต่ผลการทดลองให้ Astaxanthin 12 มิลลกรัมต่อวันเป็นระยะเวลา 4 เดือน กับผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดีแต่มีปัยหาเรื่องอาการหลงลืม อายุ 50-69 ปี พบว่ากลุ่มทดลองนี้สามารถทำการทดสอบเรื่องความทรงจำได้ดีขึ้นกว่าเดิม
(Source : Preliminary Clinical Evaluation of Toxicity and Efficacy of A New Astaxanthin-rich Haematococcus pluvialis Extract.)
จริง ๆ แล้วคุณประโยชน์ของ Astaxanthin ยังมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลด Inflammation ของเซลล์ (ช่วยบรรเทาอาการปวดไขข้อได้)เป็นต้น แต่ถ้าอยากจะทาน Astaxanthin แล้วล่ะก็ ขอแนะนำว่าจะต้องแน่ใจว่าเป็น Astaxanthin ที่มาจากธรรมชาติ ซึ่งการศึกษาส่วนใหญ่จะใช้ Astaxanthin ที่มาจากสาหร่าย Haematococcus Pluvialis เป็นหลัก
Astaxanthin ยังสามารถได้มาจากการสังเคราะห์ด้วยปิโตรเคมี แต่ Astaxanthin สังเคราะห์นี้ไม่ได้อยู่ในรูปแบบ Ester เหมือนกับ Astaxanthin ที่มาจากธรรมชาติ ทำให้ Astaxanthin สังเคราะห์นั้นมีประสิทธิภาพในการดักจับอนุมูลอิสระที่ด้อยกว่า นอกจากนี้ Astaxanthin สังเคราะห์ยังไม่ได้รับการยอมรับให้จำหน่ายเพื่อเป็นอาหารเสริมสำหรับคน แต่จะใช้เพื่อเป็นสีผสมอาหารหรืออาการสำหรับสัตว์เช่นการทำฟาร์มปลาแซลมอน (แต่ปลาแซลมอนที่เลี้ยงในฟาร์มซึ่งกิน Astaxanthin สังเคราะห์นั้นก็มีคุณประโยชน์น้อยกว่าปลาแซลมอนธรรมชาติที่ได้รับสาร Astaxanthin จากกุ้งขนาดเล็กหรือสาหร่ายที่มันกินเป็นอาหาร)
การเลือกทานอาหารเสริม Astaxanthin คงต้องเลือกจากผู้ผลิตที่ไว้ใจได้ หรืออย่างน้อยต้องมีแหล่งที่มาว่าผลิตจากแหล่งใด เพราะว่าพึ่งมีข่าวในอเมริกาเมื่อปีนี้เองว่ามีการลักลอบนำ Astaxanthin สังเคราะห์ที่ไว้ใช้เลี้ยงสัตว์เอามาโม้ขายว่าเป็น Astaxanthin จากสาหร่ายธรรมชาติเพื่อฟันกำไร หลอกลวงผู้บริโภค (เพราะว่าราคาของAstaxanthin สังเคราะห์นั้นถูกกว่า Astaxanthin ที่มาจากสาหร่ายว่า 4 เท่าแน่ะ)
สรุปว่า Astaxanthin เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์มาก และจากความรู้ในปัจจุบันมันมีความปลอดภัยสูง เพราะถึงจะเป็นสารกลุ่ม carotenoids ก็จริง แต่เมื่อ Astaxanthin เข้าสู่ตับแล้ว จะไม่ถูกเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอ ดังนั้นการทาน Astaxanthin ที่มีการศึกษากันนั้นมีตั้งแต่ 1 มิลลิกรัมต่อวัน ไปจนถึง 100 มิลลิกรัมกันเลยทีเดียว
ส่วนตัวปูเป้ทานแค่ 4 มิลลิกรัมต่อวันอิงจากผลการศึกษาเรื่องการปกป้องผิวจากอนุมลอิสระ รังสี UV การชะลอความแก่ การลดความเหนื่อยล้า และการเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อ เพราะไลฟ์สไตล์ของตัวเองก็มีแค่เรื่องของการดูแลผิว การต้องออกไปโดนแดดนอกบ้าน การใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นประจำ และการออกกำลังกาย ส่วนใครที่มีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่ต้องการดูแลคงต้องทานเพิ่มให้เท่ากับการศึกษาที่แนะนำเอาไว้ละกันจ้า
หน้าที่เข้าชม | 642,127 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 546,350 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 เม.ย. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |